Menu

สาระน่ารู้เกี่ยวกับฟิลิปปินส์

โดย นางสาวแพรวพรรณ วงศ์บุญเพ็ง : โครงการนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ รุ่นที่ 3

หลังจากที่ประเทศฟิลิปปินส์สิ้นสุดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยผู้ชนะการเลือกตั้งได้แก่ นายเบนิกโน ซิมยอน อาคิโน หรือที่ชาวฟิลิปปินส์รู้จักกันในนาม ?นอย นอย? บุตรชายของอดีตประธานาธิบดี คอรอซอน อาคิโน โดยนโยบายที่ทำให้ นอย นอย สามารถเอาชนะใจประชาชนฟิลิปปินส์ได้ก็ คือการปราบปรามคอรัปชั่น ในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่บั่นทอนการพัฒนาประเทศนี้อย่างที่สุด รวมถึงนโยบายการช่วยเหลือดูแลคนยากจน ที่มีอยู่จำนวนมากในประเทศ

อย่างไรก็ตามหลายตั้งข้อสังเกตว่า นโยบายของนาย นอย นอย ก็ยังไม่เป็นแรงกระตุ้นให้ประชาชนเลือกเขาได้มากพอเท่ากับการที่เขาเป็นบุตรชายของ อดีตประธานาธิบดี คอราซอน อาคิโน่ ที่ล่วงลับ

พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีคนที่ 15 ของ นอย นอย ถือได้ว่าเป็นงานที่ประชาชนทั้งประเทศ รวมทั้งสื่อต่างชาติต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยพิธีสาบานตนของ ว่าที่ประธานาธิบดีนอย นอย ถูกจัดขึ้นในวันที่ 30 มิถุนายน 2553 โดยงานดังกล่าวมีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Inaugural Ceremony จัดที่สนามกีฬากลางแจ้ง Quirino Grandstand ในกรุงมะนิลา นอกจากเปิดโอกาสให้ประชาชนกลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีคนใหม่ รวมถึงเครือญาติได้เข้าร่วมงานแล้ว กระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ ยังได้ออกจดหมายเชิญแขกผู้มีเกียรติจากประเทศต่างๆ อาทิ ประธานาธิบดีติมอร์ตะวันออก ผู้แทนระดับรัฐมนตรีจากประเทศในอาเซียน และผู้แทนพิเศษจากประเทศต่างๆ อีกด้วย?? สำหรับประเทศไทยนั้น นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มอบหมายให้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ เป็นผู้แทนเข้าร่วมในพิธี

กำหนดการโดยย่อของ พิธีสาบานตนนี้ คือ ในเวลาประมาณ 12.00 น. ประธานาธิบดี เบนิกโน ซิมยอน อาคิโน่ จะขึ้นกล่าวคำสาบานตนต่อประชาชน กนั้นทหารม้ายิงปืนขึ้นฟ้า 21 นัด วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสำหรับประธานาธิบดี ?We say Mabuhay? จากนั้นประธานาธิบดีคนใหม่ จะได้อ่านแถลงการณ์เข้ารับตำแหน่งหน้าที่เป็นอันเสร็จพิธี

แต่ช่วงเวลาที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าช่วงเวลาที่ ประธานาธิบดีคนใหม่จะกล่าวสาบานตน นั่นก็คือ การเดินทางมาถึงสนามกีฬา Quirino Grandstand ซึ่งเป็นที่จัดงาน? ของประธานาธิบดี อาร์โรโย่ และ ว่าที่ประธานาธิบดี เบนิกโน ซิมยอน อาคิโน เนื่องจากตามธรรมเนียมของประเทศฟิลิปปินส์แล้ว ผู้นำคนใหม่ และ คนที่กำลังจะหมดวาระ จะต้องนั่งในรถคันเดียวกัน จากทำเนียบมาลากันยัง (Malaca?ang Palace) เพื่อเข้าสู่สนาม และ กล่าวคำปฏิญาณตน ต่อหน้าแถวทหาร โดยก่อนถึงวันดังกล่าว สื่อฟิลิปปินส์หลายฉบับต่างออกข่าวแซวว่า เรื่องที่ นอย นอย และประธานาธิบดี อาร์โรโย่ จะพูดคุยกันระหว่าง 10 นาที ก่อนมาถึงบริเวณพิธี เห็นจะไม่พ้นเรื่องลม ฟ้า อากาศ เป็นแน่

เมื่อขบวนมาถึง กล้องทุกกล้อง สายตาแทบทุกสายตา จับจ้องไปที่เวทีเล็กที่จัดเอาไว้ สำหรับให้ 2 ผู้นำ ยืนหน้าแถวทหาร (ก่อนจะมีการเดินตรวจแถวทหารในลำดับต่อไป)? แม้ผู้เขียนจะเห็นในระยะค่อนข้างไกล แต่แทบไม่น่าเชื่อว่า แม้กำลังจะก้าวลงจากตำแหน่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ มาดความเป็นผู้นำ หรือ ความดูดีมีอำนาจของ ประธานาธิบดี อาร์โรโย่ หมดไปเลยแม้แต่น้อย สตรีร่างเล็กผู้นี้ยังคงความสง่างามจากภายใน นับว่าเป็นสตรีที่มีบุคลิกภาพที่เข้มแข็งอย่างโดดเด่น (Strong Personality) อย่างที่สุด

ประธานาธิบดี อาร์โรโย่ ใช้เวลาอยู่ใน Grandstand นี้ไม่นาน หลักๆ คือ การกล่าวคำสัตย์ต่อหน้าแถวทหาร จับมือกับผู้นำคนใหม่ จากนั้นก็จะตรวจแถวทหารม้า หนึ่งรอบ? เป็นอันเสร็จพิธี แต่ทว่าช่วงเวลาสั้นๆของ ประธานาธิบดี อาร์โรโย่ ในสนามแห่งนี้ เป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจที่สุด หลายคนบอกว่าชอบภาพเหตุการณ์ตอนนี้มากที่สุด ภาพตอนประธานาธิบดี อาร์โรโย่ โบกมือให้ประชาชน ท่าทีที่สงบ และหนักแน่น เสียงที่ประชาชน (ทั้งที่อาจจะเป็นผู้สนับสนุน หรือ ไม่สนับสนุนก็ตาม) เปล่งเรียกชื่อเธอ ออกมาลั่นสนาม ทั้งหมดนี้สะกดอารมณ์คนในสนามกีฬาได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม สามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่า น่าจะมีประชาชนฟิลิปปินส์ จำนวนไม่น้อย ที่แสดงความไม่พอใจต่อการบริหารประเทศของ ประธานาธิบดี อาร์โรโย่ เนื่องจากข้อกังขาในคดีทุจริตฉ้อราษฏร์บังหลวงของบุคคลรอบข้าง เช่น คดีการติดต่อกับ กกต. ก่อนการเลือกตั้งเมื่อปี 2547 คดีประมูลปุ๋ย คดีเครือข่ายดาวเทียม เป็นต้น? ซึ่งเห็นได้จากเสียงโห่ร้องและเสียงเชียร์ปะปนกัน ขณะที่ ประธานนาธิบดี นางอะโรโย เดินผ่านประชาชน เพื่ออำลาตำแหน่งประธานาธิบดี เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญฟิลิปปินส์ ผู้เป็นประธานาธิบดี? จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้แค่ 2 วาระ เท่านั้น จากนั้นต้องพักการลงเลือกตั้งเพื่อเป็นประธานาธิบดีไปอีกหลายปี ซึ่งสำหรับประธานาธิบดี อาร์โรโย่ นั้น ดำรงตำแหน่งมาแล้ว 2 วาระ รวมทั้งหมด 9 ปี

จากนั้นพอถึงเวลา ประมาณ 12.00ของวันที่ 30 มิย. 2553 ซึ่งเป็นเวลาที่ นาย เบนิกโน่? ซิมยอน อาคิโน ขึ้นกล่าวคำสาบานตน ก็เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่ง ที่ผู้คนในสนามกีฬา Quirino Grandstand ต่างเงียบเสียง และจับจ้องไปบนเวที? เพื่อรอฟังคำกล่าวสาบานตนของผู้นำคนใหม่ของพวกเขา ซึ่งคำกล่าวสาบานตนมีใจความดังต่อไปนี้

"I do solemnly swear that I will faithfully and conscientiously fulfill my duties as president of Philippines , preserved and defend its constitution, execute its law do justice to every man , and consecrate myself to the service of the nation , So god help me."

และนี่คือภาพแห่งวินาทีประวัติศาสตร์? ที่ของประเทศฟิลิปปินส์ ที่ นาย เบนิกโน่? ซิมยอน อาคิโน หรือ ที่เรียกว่า (Mr. Benigno Simeon? C.Aquino III) กล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ ต่อหน้าแถวทหาร และ ต่อหน้าประชาชนชาวฟิลิปปินส์

หลังจากปฏิญาณตนจบ คณะผู้จัดงานได้ทำเซอร์ไพร้สผู้มาร่วมงานด้วยกัน ให้เฮลิคอปเตอร์ บินเหนือสนามกีฬา และ โปรยดอกไม้สีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำตัว ประธานาธิบดี อาคิโน่ ซึ่งนับว่าเป็นภาพที่ความงดงามมาก (สีเหลือง เป็นวีที่นาง คอราซอน อาคิโน่ ใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเรียกร้องอำนาจอธิปไตย จาก ประธานาธิบดี มาคอส ซึ่งสีเหลือง เป็นตัวแทนของ ความเป็นอิสระ และ ปราศจากพันธนาการทั้งปวง Freedom + independent ซึ่งภายหลัง ประธานาธิบดี อาคิโน (นอย นอย) ได้นำมาใช้เป็นสีประจำตัว ในช่วงการรณรงค์หาเสียงด้วย)?? และ นอกจากจะใช้สีเหลืองเป็นสีประจำตัวแล้ว ประธานาธิบดีอาคิโน่ (นอย นอย) ยังได้เรียกร้องให้ชาวฟิลิปปินส์เรียกตนเองว่า P-Noy ซึ่งย่อมาจาก President Noy ซึ่งก็จะมีเสียงพ้องกับคำว่า Pinoy ที่แปลว่า ชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นการแสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียว และความใกล้ชิดกับประชาชนชาวฟิลิปปินส์ของตนด้วย

จากนั้น เมื่อกล่าวปฏิญาณจบ ก็เป็นช่วงเวลาที่ นอย นอย กล่าวสุนทรพจน์เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ต่อหน้าประชาชน ซึ่งประกอบด้วยนโยบาย 4 ด้าน คือ นโยบายแห่งชาติ ซึ่งจะเน้นย้ำเรื่องประชาธิปไตย และ สร้างความเป็นธรรมในสังคม นโยบายด้านการเมือง เน้นการปราบปรามทุจริตฉ้อราษฏร์บังหลวง การโกงการเลือกตั้งของนักการเมือง

การประกาศว่าจะบริหารบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์และโปร่งใส แก้ปัญหาความขัดแย้งในมินดาเนา รวมถึงการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน นโยบายด้านเศรษฐกิจ การดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยว โดยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษี โดยเน้นการนำภาษีที่จัดเก็บได้ไปใช้ในโครงการด้านสวัสดิการของรัฐ? สุดท้ายคือ นโยบายด้านต่างประเทศ ซึ่งจะเน้นเรื่องการปฏิบัติตามพันธกิจด้านการต่างประเทศ? และการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ

คำกล่าวสุนทรพจน์ของ ประธานาธิบดี เบนิกโน่ ซิมยอน อาคิโน? สามารถสะกดอารมณ์?? สร้างความประทับใจ และ สร้างความเชื่อมั่น ให้แก่พี่น้องประชาชนชาวฟิลิปปินส์ได้เป็นอย่างดี? สังเกตได้จากเสียงปรบมือ? และ เสียงโห่ร้อง YES YES YES !!! ที่ดังขึ้นมาเป็นระยะๆ ตลอดเวลากว่า 20 นาทีที่ประธานาธิบดี คนใหม่ กล่าวสุนทรพจน์

สตรีผู้นี้ คือ หนึ่งในประชาชนผู้สนับสนุน ประธานาธิบดีคนใหม่? เธอแสดงสีหน้าซาบซึ้งใจมาก? เมื่อนอยนอย ให้สัญญาว่าจะปราบปรามทุจริต? และย้ำว่ารัฐบาลของเขาจะไม่มีการคอร์รับชั่น? และ จะช่วยเหลือคนยากจน ?

จากนั้น ประธานาธิบดีคนใหม่ของฟิลิปปินส์ ก็เดินตรวจแถวทหารม้า 1 รอบ

หลังจากตรวจแถวทหารจบ ประธานาธิบดีคนล่าสุดของฟิลิปปินส์ก็ขึ้นไปขอบคุณ แขกที่มาร่วมงาน จากนั้นก็นั่งรถประจำตำแหน่งออกจาก Quirino Grandstand ไปเมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. เนื่องจากตามตารางแล้วจะมีประชุม ครม. นัดแรก ในบ่ายวันที่ 30 มิย. เลย? และในช่วงเย็นวันนี้จะมีงานเลี้ยงรับรองเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งของ ประธานาธิบดี ฟิลิปินส์ ให้แก่แขกผู้มีเกี่ยรติจากต่างประเทศ โดยมีประธานาธิบดีเป็นเจ้าภาพ ณ ทำเนียบ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ด้วย ซึ่งในการนี้รมต.องอาจ คล้ามไพบูลย์ ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทยได้รับเชิญไปในงานดังกล่าวด้วยเช่นกัน

และทั้งหมดนี้ก็คือ การรายงานบรรยากาศจากงานพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีคนใหม่ จาก Quirino Grandstand กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เราคงต้องจับตามองกันต่อว่า ตลอดเวลา 6 ปี ของ รัฐบาล ประธานาธิบดี เบนิกโน ซิมยอน อาคิโน ต่อจากนี้จะสามารถแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ขจัดความยากจนภายในประเทศ และ สร้างความปรองดองให้กับคนในชาติได้ ดังที่สัญญาเอาไว้หรือไม่

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

งานแสดงสินค้าในฟิลิปปินส์ ในปี 2553

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการจัดงานแสดงสินค้าระหว่างประเทศของฟิลิปปินส์ เพื่อประโยชน์แก่นักธุรกิจไทย และผู้สนใจทั่วไปในการพิจารณาแสวงหาโอกาสและลู่ทางในด้านการค้า ธุรกิจ และการเจาะตลาดสินค้าในฟิลิปปินส์

ฟิลิปปินส์ถือเป็นตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ (ประชากรฟิลิปปินส์ 98 ล้านคน) โดยพฤติกรรมการบริโภคทั่วไปของชาวฟิลิปปินส์ นิยมจับจ่ายซื้อของในงาน Bazaar และการออกร้านต่างๆ ในลักษณะของการซื้อปลีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคประเภทอาหาร อาหารกึ่งสำเร็จรูป เครื่องปรุงอาหาร ผลไม้ไทย ข้าวของเครื่องใช้สำหรับเด็กเล็ก (อัตราการขยายตัวของทารกแรกเกิดอยู่ในระดับสูงกว่า 2%) ของขวัญ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ สินค้าสำหรับตกแต่งในเทศกาลต่างๆ อาทิ วันเกิด วันสำคัญทางศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะในช่วงใกล้เทศกาลคริสต์มาส ซึ่งการจับจ่ายใช้สอยดังกล่าว เป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฟิลิปปินส์อย่างมาก ดังนั้น โอกาสของการจัดงาน Bazaar และตลาดสินค้าขนาดเล็ก/ขนาดกลาง ในฟิลิปปินส์จึงมีอยู่อย่างสม่ำเสมอและตลอดทั้งปี

สำหรับงานแสดงสินค้าขนาดใหญ่ในฟิลิปปินส์มีจำนวนไม่มากและบ่อยครั้งในรอบปี เนื่องจากข้อจำกัดด้านต่างๆ อาทิ ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและคมนาคม ด้วยปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการ/ผู้ค้าของฟิลิปปินส์นิยมเดินทางไปร่วมงานแสดงสินค้าในประเทศต่างๆ อาทิ เยอรมนี ญี่ปุ่น และประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลฟิลิปปินส์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ผลักดันนโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้าขนาดใหญ่ในฟิลิปปินส์ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งได้รับความสนใจและการตอบรับมากขึ้นจากผู้ประกอบการทั้งชาวฟิลิปปินส์และต่างประเทศและตลาดภายในประเทศ ดังเช่นการจัดงานแสดงสินค้าวัสดุก่อสร้าง 15th Worldbex ? ?Constructing the Future Green Communities through Effective Technologies and Materials? เมื่อ 17 ? 21 มีนาคม 2553 ซึ่งได้มีบริษัทชั้นนำของไทย อาทิ SCG, Mariwasa Siam Ceramics มาร่วมงานและออกร้าน ดังนั้น สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงเห็นว่า การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า ทั้งระดับกลางและขนาดใหญ่ของฟิลิปปินส์ จึงเป็นช่องทางหนึ่งในการช่วยประชาสัมพันธ์สินค้า/บริการของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในตลาดฟิลิปปินส์ได้ นอกจากนี้ ยังจะเป็นประโยชน์แก่การทำความรู้จักกับนักธุรกิจของฝ่ายฟิลิปปินส์และการพบปะจับคู่ทางธุรกิจระหว่างกัน

ทั้งนี้ จากการประเมินของผู้ประกอบการจากประเทศไทย ที่มาร่วมออกงานจำหน่ายสินค้าในฟิลิปปินส์ที่ผ่านๆ มา พบว่า สินค้าจากประเทศไทยที่จำหน่ายได้ดี เป็นพวกสินค้าอาหารกึ่งสำเร็จรูป/ เครื่องปรุงอาหารไทย เสื้อผ้าและเครื่องประดับ อะไหล่รถยนต์/เครื่องจักรยานยนต์ และควรเป็นสินค้าที่มีราคมไม่สูงนัก เนื่องจากคนฟิลิปปินส์มีนิสัยชอบของถูกและชอบต่อรองราค

ในการนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอส่งตารางการจัดงานแสดงสินค้าในฟิลิปปินส์ ในปี 2553 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Center for International Trade Exposition and Missions ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ฟิลิปปินส์ มาเพื่อใช้ประโยชน์ และยินดีจะให้บริการข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติม โดยผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ทางไปรษณีย์อิเลกทรอนิกส์ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

จึงเรียนมาเพื่อประชาสัมพันธ์โดยทั่วกัน

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา
3 มิถุนายน 2553

เดือน ช่วงเวลา ชื่องาน ประเภทงาน สถานที่
กุมภาพันธ์
8-9
E-SERVICES PHILIPPINES : 10TH GLOBAL SOURCING CONFERENCE AND EXHIBITIONS Information and Communications Technology (ICT) Services SMX Convention Center, Pasay City
มีนาคม 17-21
15th Worldbex ? ?Constructing the Future Green Communities through Effective Technologies and Materials?

วัสดุก่อสร้าง

World Trade Center, Pasay City
เมษายน 22-25
MANILA F.A.M.E. INTERNATIONAL Design driven products / services?Furniture ? Home Furnishings; Gifts ? Home D?cor; Christmas and Holiday D?cor
World Trade Center, Pasay City
เมษายน 22-25
BIO-SEARC
(timed with Manila F.A.M.E. International)
Health and Wellness World Trade Center, Pasay City
เมษายน 22-25
ART MANILA
(timed with Manila F.A.M.E. International)
Paintings (contemporary, classical, and modern); Commercial Arts; Sculptures; Antiques World Trade Center, Pasay City
เมษายน 22-25
FASHIONATION
(timed with Manila F.A.M.E. International)
Fashion Accessories and Garments World Trade Center, Pasay City
พฤษภาคม 6-8
INTERNATIONAL FOOD EXHIBITION
(IFEX) PHILIPPINES

Food / Marine Products; Natural, herbal, and organic food and food supplements World Trade Center, Pasay City
สิงหาคม 26-28
PHILIPPINE INTERNATIONAL ECO SHOW (PInES)
Environment friendly products and services SMX Convention Center, Pasay City
ตุลาคม 18-21
MANILA F.A.M.E. INTERNATIONAL
Design driven products / services?Furniture ? Home Furnishings; Gifts ? Home D?cor; Christmas and Holiday D?cor
World Trade Center, Pasay City

ที่มา : Center for International Trade Exposition and Missions ใน www.citem.gov.ph

ข้าวนับเป็นอาหารหลักที่สำคัญที่สุดสำหรับฟิลิปปินส์ โดยชาวฟิลิปปินส์จำนวนกว่า 90 ล้านคนบริโภคข้าว? ปีละประมาณ 13.2 ล้านตัน หรือวันละประมาณ 35,000 ตัน หลายท่านอาจไม่ทราบว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฟิลิปปินส์ไม่สามารถปลูกข้าวได้มากเพียงพอต่อความต้องการในการบริโภคภายในประเทศ โดยปัจจุบันฟิลิปปินส์มีกำลังผลิตข้าวได้เพียงประมาณ 10.2 ล้านตันต่อปี และกลายเป็นประเทศที่นำเข้าข้าวในปริมาณมากที่สุดในโลก แหล่งนำเข้าข้าวที่สำคัญ ได้แก่ เวียดนาม ไทย ปากีสถานและอินเดีย ซึ่งในปี 2552 ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวจากต่างประเทศ 1.575 ล้านตัน (นำเข้าข้าวจากเวียดนาม 95 % และไทย 75,000 ตัน)

สำหรับปี 2553 หน่วยงานของฟิลิปปินส์คาดการณ์ว่า ฟิลิปปินส์จะนำเข้าข้าวจากต่างประเทศปริมาณ? 2.4 ? 3 ล้านตัน (1) เนื่องจากปรากฏการณ์ El Nino ได้ส่งผลทำให้เกิดภาวะแห้งแล้งอย่างหนักในฟิลิปปินส์นับตั้งแต่ต้นปี 2553 นอกจากนี้ ภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปี ไม่ว่าจะเป็นพายุไต้ฝุ่นและโคลนถล่ม คาดว่าจะสร้างความเสียหายทางการเกษตรประมาณ 8 พัน ? 2 หมื่นล้านเปโซ รวมทั้งทำให้ปริมาณการผลิตข้าวของฟิลิปปินส์เสียหายถึง 816,312 ตัน

ในเรื่องการบริโภค ฟิลิปปินส์จะนำเข้าข้าวประเภทคุณภาพต่ำ 5%- 20% เป็นส่วนใหญ่ และให้ความสำคัญกับปริมาณและราคามากกว่าคุณภาพ แต่ในขณะเดียวกัน ข้าวคุณภาพดีก็เป็นที่ต้องการในกลุ่มตลาดระดับกลางและบน โดยคนกลุ่มนี้มักจะเลือกบริโภคสินค้าคุณภาพดี ซึ่งรวมทั้งข้าวหอมมะลิจากไทยซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมาก ตลาดข้าวฟิลิปปินส์จึงแบ่งได้เป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ ตลาดข้าวคุณภาพต่ำที่แข่งขันกันด้วยราคา และตลาดข้าวคุณภาพสูงที่แข่งขันกันด้วยคุณภาพและชื่อเสียง ซึ่งในส่วนหลังนี้ ข้าวหอมมะลิไทยได้มีความได้เปรียบและโอกาสดี โดยจะเห็นได้ว่า แม้ในช่วงปีที่ผ่านมา ไทยส่งออกข้าวไปตลาดฟิลิปปินส์ในปริมาณที่ต่ำกว่าข้าวจากเวียดนามอย่างมาก เนื่องจากข้าวไทยมีราคาเปรียบเทียบที่สูงกว่า แต่สถานการณ์สำหรับข้าวหอมมะลิ ในตลาดบนของฟิลิปปินส์นั้นข้าวหอมมะลิจากไทยเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว

จากการพูดคุยกับผู้นำเข้าข้าวหอมมะลิไทยมาฟิลิปปินส์รายหนึ่ง กล่าวว่า ตลาดข้าวหอมมะลิในฟิลิปปินส์นับว่ามีศักยภาพ โดยเห็นได้จากการที่ปริมาณการนำเข้าของบริษัทของตนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมาฟิลิปปินส์จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอย่างหนัก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า? ตลาดข้าวหอมมะลิไทยในฟิลิปปินส์มีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดี ผู้นำเข้าของไทยซึ่งมีความกังวลว่าอนาคตของข้าวหอมมะลิไทยในฟิลิปปินส์อาจไม่สดใสมากนัก เนื่องจากในระยะหลังพบว่ามีการวางขายข้าว หอมมะลิปลอมหรือผสมของปลอมในตลาดฟิลิปปินส์จำนวนมากขึ้น ซึ่งตนเห็นว่าจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของข้าวหอมมะลิไทยในระยะยาว

จากการสำรวจและสอบถามผู้นำเข้าข้าวและผู้ประกอบการร้านอาหารไทยในฟิลิปปินส์ คาดว่าการปลอมแปลงข้าวหอมมะลิไทยในฟิลิปปินส์เป็นการกระทำของผู้ต้องการแสวงหากำไรจากชื่อเสียงของข้าวหอมมะลิ โดยนำข้าวหอมมะลิปลอม/ข้าวหอมมะลิผสม มาบรรจุในบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่ระบุว่าเป็นข้าวหอมมะลิ บางรายถึงขั้นระบุว่าเป็นสินค้าของประเทศไทย และมีการปลอมแปลงเครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทยของกรมการค้าต่างประเทศ และตราสัญลักษณ์รับรองคุณภาพอื่นๆ ด้วย สินค้าปลอมในลักษณะนี้พบเห็นได้ทั่วไปในตลาดฟิลิปปินส์ แม้กระทั่งในห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่เป็นแหล่งจับจ่ายสินค้าของชนชั้นกลางและคนรวย

ผู้นำเข้าข้าวหอมมะลิไทยรายใหญ่ในฟิลิปปินส์รายหนึ่งเห็นว่า แม้ว่ากลุ่มผู้ซื้อข้าวหอมมะลิไทย ในฟิลิปปินส์จะเป็นผู้มีกำลังซื้อสูงและเน้นคุณภาพมากกว่าราคา แต่ข้าวหอมมะลิไทยของแท้ที่มีต้นทุนการนำเข้าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 70 เปโซต่อกิโลกรัม (2) อาจเสียเปรียบต่อข้าวหอมมะลิปลอมที่มีราคาถูกกว่าได้ ทั้งนี้ ไม่นับความเสียหายที่จะมีต่อภาพลักษณ์ ชื่อเสียง และราคาของข้าวหอมมะลิจากไทยในระยะยาว

ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ทั้งผู้ส่งออกและนำเข้า ตลอดจนผู้บริโภค จะต้องให้ความสำคัญและร่วมมือกันการแก้ไขปัญหาข้าวหอมมะลิปลอมอย่างจริงจังทั้งในการป้องกันและปราบปราม โดยไม่เน้นแต่เพียงการมุ่งแสวงหาตลาดโดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อภาพลักษณ์ของสินค้า เพื่อให้ข้าวหอมมะลิไทยคงความเป็นที่ยอมรับในคุณภาพ และมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดฟิลิปปินส์และตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน มิเช่นนั้น การปลอมแปลงข้าวหอมมะลิอาจกลายปัญหาที่บ่อนทำลายภาพลักษณ์และตลาดข้าวหอมมะลิไทยในระยะยาว

************************************

(1) ผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ของฟิลิปปินส์ ได้แก่ องค์การอาหารแห่งฟิลิปปินส์ (National Food Authority: NFA ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐบาล) มีหน้าที่ในการกำกับดุแลให้ปริมาณและราคาอาหาร รวมทั้งข้าว ในตลาดฟิลิปปินส์ เพียงพอและเหมาะสมต่อการบริโภคภายในประเทศ และในแต่ละปี NFA จะกำหนดปริมาณนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ? เพื่อใช้ในการเพิ่มปริมาณสำรองข้าวเพื่อใช้ในการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้ NFA ยังอุดหนุนราคาข้าว 25 % เพื่อขายคนยากจนในราคา 18 เปโซ ต่อกิโลกรัม จากราคาตามท้องตลาด 30 ? 40 เปโซ ต่อกิโลกรัม

(2) ปัจจุบัน ภาษีนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์สำหรับการนำเข้าข้าวในโควตา (in-quota) อยู่ที่ 40 % และนอกโควตา (out-quota) 50 %

ที่มา: ASTV ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 15 สิงหาคม 2552

พงษ์พจน์ หิรัญพฤกษ์ เจ้าของร้านถ้าพูดการเปิดร้านอาหารไทยในต่างแดน ประเทศสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ และออสเตรเลีย ถือเป็น 3 ประเทศหลักที่มีคนไทยเข้าไปเปิดร้านอาหารไทยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้เป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันสูง แต่สำหรับ ?พงษ์พจน์ หิรัญพฤกษ์? อีกหนึ่งคนไทยที่เลือกทำธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างแดนกลับคิดต่าง เพราะเขาเลือกที่จะลงทุนเปิดร้านอาหารไทย ในตลาดที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองไทย มากนัก นั่นคือ ประเทศฟิลิปปินส์

พงษ์พจน์เข้าไปเปิดร้านอาหารไทยในประเทศฟิลิปปินส์เมื่อ 8 ปีที่แล้ว โดยใช้ชื่อว่า?ครัวไทย? (KRAUTHAI AUTHENTIC THAI CUISINE RESTAURANT) เป็นร้านที่ตกแต่งสไตล์คลาสสิค เน้นจับกลุ่มลูกค้าระดับ B+ ขึ้นไป

?หลังจากผมเรียนจบทางด้านวิศวกรรมศาสตร์จากประเทศฟิลิปปินส์ ผมก็กลับไปเที่ยวและไปดูว่ามีอะไรที่เราจะค้าขายได้บ้าง พอดีไปเจอเรื่องเฟอร์นิเจอร์ที่ฟิลิปปินส์ผลิตส่งขายในตลาดโลก ผมก็เลยนำเฟอร์นิเจอร์ที่ตกรุ่นของแบรนด์ดังๆเข้ามาขายในเมืองไทย

ในช่วงนั้นผมเดินทางเข้าออกฟิลิปปินส์บ่อยมาก เพราะปีหนึ่งมีของเข้ามาหลายตู้คอนเทนเนอร์ ก็ได้มีโอกาสเจอเพื่อนฝูงที่นั่น เขาก็บอกกับผมว่าชอบทานอาหารไทยนะ ทำไมคุณไม่สนใจมาลงทุนทำธุรกิจร้านอาหารไทยที่นี่ล่ะ ทำให้ผมฉุกคิดว่าก็ไม่เลวนะที่จะทำธุรกิจร้านอาหารไทยในประเทศนี้

แต่คำถามที่ตามมา ก็คือ คนฟิลิปปินส์จะชอบกินไหม แล้วเขาจะกินได้หรือเปล่า ผมก็เลยชวนเพื่อนๆมาเที่ยวเมืองไทย พาเขาไปทานอาหารไทยบ้าง แล้วได้ทำอาหารให้เขาทานบ้าง ซึ่งเขาก็ชอบ เขาบอกว่า Spicy ก็ไม่มาก ความเผ็ดสามารถควบคุมได้ ประกอบกับจากการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค พบว่า คนฟิลิปปินส์ชอบทานอาหารนอกบ้าน ในหนึ่งอาทิตย์เขาจะไปทานอาหารนอกบ้านมากกว่าคนไทย แล้วมื้ออาหารกลางวัน เขาจะทานอาหารที่เป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าคนไทย

อย่างเราทานอะไรก็ได้ ข้าวผัดกระเพรา, บะหมี่ แต่เขาจะทานเยอะกว่าเรา เป็นเซตเมนูเลย แล้วทานได้ทุกเวลา ร้านอาหารที่เปิดในห้างจะเห็นคนนั่งทานกันตลอดเวลา จึงทำให้ธุรกิจอาหารที่ฟิลิปปินส์เจริญเติบโตมาก นี่คือสิ่งที่เป็นแรงจูงใจให้ผมเข้ามาแข่งขันในตลาดนี้? พงษ์พจน์ ย้อนเล่าถึงที่มาของการบุกเข้าไปเปิดร้านอาหารไทยในฟิลิปปินส์

อ่านเพิ่มเติม: ครัวไทยในฟิลิปปินส์ ก้าวสู่ TOP FIVE ใน 8 ปี